EEC : Eastern Economic Corridor หรือ
โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก เป็นแผนยุทธศาสตร์ต่างประเทศภายใต้ไทยแลนด์ 4.0
ที่ต่อยอดความสำเร็จมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern
Seaboard ที่ดำเนินมาตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา
เหตุใดเราจึงต้องให้ความสำคัญกับ
EEC
สถานการณ์เศรษฐกิจภูมิภาคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งในด้านการพัฒนาประเทศ ระบบคมนาคม และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำเนิด
ASEAN Economic Community (AEC) ที่มีจุดมุ่งหมายผลักดัน ASEAN
ให้เป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ
การลงทุน และแรงงานฝีมือได้อย่างเสรี
ทำให้บริษัทต่างชาติมีตัวเลือกในการตั้งฐานการผลิตและกระจายสินค้ามากขึ้น
ซึ่งในระยะต่อไปความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคจะยกระดับขึ้นอีกขั้น
ซึ่งไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย (East-West
Economic Corridor) และเชื่อมต่อจีนตอนใต้เข้ากับภูมิภาคแหลมทอง (North-South
Economic Corridor) ทำให้ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและโลจิสติกส์ของภูมิภาคและการเป็นประตูสู่เอเชียได้
อย่างไรก็ตาม
EEC มองว่า เวียดนามจะผันตัวมาเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตามอง
เพราะเวียดนามเป็นหนึ่งในเป้าหมายการลงทุนจากต่างชาติที่มีความโดดเด่น
ด้วยข้อได้เปรียบด้านแรงงานจำนวนมากที่อายุยังน้อยและค่าแรงต่ำ
ตำแหน่งที่ตั้งที่ติดกับจีนและเป็นประตูสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัวต่อเนื่อง
และนโยบายประเทศที่ชัดเจนในการก้าวขึ้นเป็น “โรงงาน” และ “ซิลิคอนวัลเลย์” ของเอเชีย ในขณะที่ตัวขับเคลื่อนสำคัญของไทยอย่าง
Eastern Seaboard กำลังหมดไฟ
และอุตสาหกรรมที่ไทยมีความเชี่ยวชาญกำลังตกยุค
ส่งผลให้ในปัจจุบันมีบริษัทต่างชาติพิจารณาย้ายฐานการผลิตจากไทยไปยังเวียดนามแล้ว
หนึ่งในนั้นได้แก่ Samsung Electronics Limited LG Electronics และ Daikin Industries Limited ดังนั้น
หากไทยไม่เร่งพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศตั้งแต่วันนี้
มีความเป็นไปได้ว่าเวียดนามจะสามารถแซงหน้าไทยด้วยมูลค่า GDP ที่สูงกว่าในปี 2050
นอกจากนี้
ผลการประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันโดย IMD พบว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับค่อนข้างดีที่
28 จาก 61 ประเทศ
แต่หากพิจารณาในตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมจะพบว่าไทยทำคะแนนได้ค่อนข้างต่ำ
ในด้านผลิตภาพ (อันดับที่ 43) โครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
(อันดับที่ 47) และเทคโนโลยี (อันดับที่ 42) ซึ่งรายงาน Global Competitiveness Index 2016-2017 ของ
World Economic Forum ให้ผลการประเมินในทิศทางเดียวกัน
กล่าวคือ ศักยภาพในการคิดค้นนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และแรงงานทักษะมีการพัฒนาช้า เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเดียวกัน
และยังคงเป็นปัญหาหลักในการทำธุรกิจในไทยอีกด้วย ดังนั้น
เพื่อทำให้ไทยกลับมามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
EEC จึงเป็นโครงการสำคัญที่จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทย
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3ujDRseUu9HJ60L3W_8OWjKW93vt9IQTzyrzDKhnnwcoEzAgzmCV2Vy3z1qYHoXFgu4CFohfTdXxcSIeRfO4lTjZlazQ1euJujujlDGYTuS0Flc44YpcRK8DAZIQGuzpMXNs0_UOvRJWT/s640/eec.jpg)
เป้าหมายและมาตรการส่งเสริม
EEC ของรัฐบาลมีอะไรบ้าง?
โครงการ EEC มีเป้าหมายยกระดับพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้กลายเป็น
“World-Class Economic Zone” รองรับการลงทุนอุตสาหกรรม Super
Cluster และอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอีก 20 ปีข้างหน้า แทนที่ Eastern
Seaboard เดิม โดยคาดการณ์ว่าการลงทุนใน EEC จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยราว
5% ต่อปี สร้างการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ 100,000
อัตราต่อปี สร้างฐานภาษีใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 10 ล้านคนต่อปี
และสร้างฐานรายได้เพิ่มไม่น้อยกว่า 4.5 แสนล้านบาทต่อปี
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEib429MDiSxnbiGDycc8rOXH2AlopizRtTab6YFEq4vzSV-yxjLjBTvnPkNUUu7dta1VcrjBaotWmOTurtUfzWNFjaPRb3tm0n4RScegxrLNdrNEnJjpn6kx9xEg1QVPEQTDX9POxGWG9J9/s640/eec3.jpg)
การลงทุนในระยะ
5 ปีแรก (2017-2020)
เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนสนับสนุน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ภายใต้กรอบการลงทุนร่วมภาครัฐและเอกชนวงเงิน
1.5 ล้านล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่นำร่อง 3 จังหวัด ชลบุรี ระยอง และ ฉะเชิงเทรา
ซึ่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมนับเป็นสัดส่วนใหญ่ของงบลงทุนทั้งหมด
เพื่อยกระดับคุณภาพและเพิ่มการเชื่อมต่อภายในประเทศและภูมิภาคมากขึ้นทั้งทางบก
ทางน้ำ และทางอากาศ
และสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและโลจิสติกส์ของเอเชียในอนาคต ประกอบด้วย
การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ การก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง การก่อสร้างท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง
การก่อสร้างท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ
และการก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้
รัฐบาลยังทุ่มเงินลงทุนมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาทเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม
และอีก 2 แสนล้านบาทเพื่อพัฒนาด้านการท่องเที่ยว พร้อมกันนี้
เมืองใหม่ 4 แห่ง ได้แก่ ฉะเชิงเทรา พัทยา อู่ตะเภา และ
ระยอง จะได้รับการพัฒนาเพื่อเอื้อต่อภาคธุรกิจ เป็นศูนย์การวิจัยและพัฒนา
และกระจายความแออัดจากกรุงเทพฯ ในการนี้ รัฐบาลได้ร่างพ.ร.บ.
พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกขึ้น เพื่อเร่งและสนับสนุนการดำเนินโครงการ EEC
ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงเพิ่มเติม
รวมทั้งแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน และร่าง
พ.ร.บ.เพิ่มขีดความสามารถฯ เพื่อเร่งการลงทุนจากต่างชาติและภาคเอกชนในพื้นที่ EEC ด้วยสิทธิประโยชน์การลงทุน ถึง 3 ด้าน คือ
1) สิทธิประโยชน์แบบ
Tailor Made สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย การแพทย์ครบวงจร
ปิโตรเคมี อากาศยาน และเขตนวัตกรรมเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECI) ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ตามร่างพ.ร.บ. 2 ฉบับ
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดไม่เกิน 15 ปี
หรือสิทธิประโยชน์อื่นมากที่สุดเท่าที่ พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับจะให้ได้
2) เครื่องมือสนับสนุน-ส่งเสริม-อำนวยความสะดวกในการลงทุนแบบครบวงจร
3) การให้บริการ One Stop Service นอกจากนี้
การลงทุนในพื้นที่ EEC จะได้รับสิทธิประโยชน์ “เพิ่มเติม” ในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50%
ของอัตราปกติเป็นระยะเวลาอีก 5 ปี สำหรับ 5
กิจการ คือ กิจการโครงสร้างพื้นฐาน
กิจการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ EEC กิจการที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยและพัฒนา
และเทคโนโลยีชีวภาพ กิจการบริการที่มีมูลค่าสูง (High Value Services) และกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมที่ยังมีผู้ประกอบการน้อยราย
ท่าทีของนักลงทุนชาวต่างชาติต่อการลงทุนใน EEC เป็นอย่างไร?
มาตรการส่งเสริมการลงทุนในครั้งนี้ดึงดูดความสนใจของบริษัทต่างชาติได้เป็นอย่างมาก
รัฐบาลคาดว่าจะสามารถดึงดูดการลงทุนได้มากกว่า 1.9 ล้านล้านบาทจากภาคเอกชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมในกลุ่ม ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิตอล
และอากาศยาน โดยที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง โตโยต้า นิสสัน และ BMW
ต่างแสดงความสนใจในการลงทุนเพิ่ม อย่างไรก็ตาม
บริษัทยังรอความชัดเจนของนโยบายการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
(EV) ในประเทศที่กำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ในส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
บริษัท ซูมิโตโม่ อิเล็กทรอนิกส์ วินเทค (ไทยแลนด์) จำกัด
ซึ่งเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักรกล
และหุ่นยนต์และเครื่องมือกลระบบอัตโนมัติ กล่าวว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมีความมั่นใจและมีแผนการลงทุนเพิ่มในไทยมากขึ้น
โดยทางบริษัทเตรียมจัดตั้งสาขาและศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์
(Technical Learning Academy) ในพื้นที่ EEC ด้วยงบลงทุน 150-200 ล้านบาท
นอกจากนี้
อาลีบาบา บริษัท e-Commerce ยักษ์ใหญ่จากจีน
ได้ลงนามในข้อตกลงกับรัฐบาลไทยหลายฉบับในเดือนธันวาคมปี 2017 เพื่อสร้างฮับ e-Commerce
และโลจิสติกส์ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2019 ซึ่งการลงทุนในพื้นที่
EEC นี้เป็นการก้าวเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียนพร้อมทั้งช่วยกระจายความรู้ด้าน
e-Commerce และโลจิสติกส์ให้แก่ผู้ประกอบการไทยอีกด้วย และเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2018
การบินไทยได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับแอร์บัสในข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน
(TG MRO Complex Development) ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา
โดยผู้บริหารแอร์บัสตัดสินใจเลือกไทยเป็นหนึ่งในศูนย์ซ่อม MRO ด้วยความเหมาะสมเรื่องที่ตั้งและความเชื่อมั่นที่มีต่อนโยบายเศรษฐกิจไทย