สำหรับอัตราส่วนทางการเงินที่นักลงทุนมักจะให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ
ก็คืออัตราส่วน P/E ซึ่งหมายถึงราคาต่อกำไรของหุ้น
ซึ่ง P หมายถึงราคา และ E หมายถึงกำไรต่อหุ้นย้อนหลัง
1 ปีซึ่งการใช้ P/E มีข้อควรระวังคือ หาก E ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายราคาก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การคิดค่าเสื่อมมากเกินไปหรือน้อยเกินไปซึ่งทำให้กำไรผิดปกติ
หรือกำไรพิเศษซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ E สูงขึ้นผิดปกติ
รวมถึงการตลาดปรับค่า P/E สูงขึ้นหรือต่ำลงตามภาวะตลาด ณ
ตอนนั้น ซึ่งความผิดปกติต่างๆ
นักลงทุนสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้จากการอ่านงบการเงินของบริษัทฯ
E ที่เปลี่ยนไปมีผลต่อราคาอย่างไร ผมจะขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นดังนี้
หุ้น XY มีราคา (P) ปัจจุบันอยู่ที่ 10
บาท มีกำไรต่อหุ้น (E) อยู่ที่ 0.8 บาท จากข้อมูลหุ้นตัวนี้จะมี
P/E อยู่ที่ 12.5
กรณีที่ 1. ตลาดมองว่าหุ้น XY เป็นหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพดีผู้คนต่างก็ให้ความสนใจและมองว่าหุ้นตัวนี้มี
P/E เหมาะสมอยู่ 15 ดังนั้นราคาของหุ้น
XY ก็จะปรับขึ้นไปที่ 12 บาท
กรณีที่ 2. กำไรต่อหุ้นมีสูงขึ้นหรือต่ำลง จะมีผลทำให้ P/E ของหุ้นปรับเปลี่ยนตามไปด้วย อาทิ กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจากเดิมมาอยู่ที่
0.9 บาท P/E ก็จะปรับมาอยู่ที่ 11.11 และถ้าตลาดยังคงมองหุ้น XY ว่าควรมี P/E เท่าเดิมที่ 12.5 หุ้นก็จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 13.88 บาท
จาก 2 กรณีที่กล่าวไปในหุ้นตัวหนึ่ง มักจะเกิดทั้งสองกรณีซ้อนทับกันเสมอๆ
ดังนั้นนักลงทุนควรมอง P/E ในอนาคตด้วยว่ามีโอกาสไปทิศทางไหน E ในอนาคตมีแนวโน้มเป็นอย่างไร อนาคตตลาดจะให้ P/E แก่หุ้นตัวที่เราเลือกได้สูงหรือต่ำแค่ไหน
และราคาปัจจุบันที่ซื้อนั้นมี P/E เหมาะสมไหมถูกหรือแพงอย่างไร