ในสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
แต่ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารกลับลดน้อยถอยลง ซึ่งเป็นอัตราที่สวนทางกัน ดังนั้นจึงมีผู้คนที่จะพยายามออมเงินด้วยการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีทั้ง ซื้อทอง , พันธบัตรรัฐบาล ,สลากออมสิน , อสังหาริมทรัพย์ , กองทุนต่างๆ
แต่ทั้งนี้การลงทุนในรูปแบบต่างๆ
ก็มีทั้งสภาพคล่องและความเสี่ยงไม่เท่ากัน (สภาพคล่องคือ
ความสามารถในการเปลี่ยนเป็นเงิน หรือ กระแสเงินสด) ซึ่งมักจะแปรผันไปตามผลตอบแทนที่ได้รับ อาทิ เงินฝากธนาคาร สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ
ผลตอบแทนต่ำ หรือ หุ้น ที่มีสภาพคล่องปานกลาง ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง เป็นต้น
ตรงนี้แล้วแต่หลักการของแต่ละคน แต่โดยส่วนตัวผมเอง ผมได้แบ่งการลงทุนตามสภาพคล่อง
ของสินทรัพย์ที่จะเราไปลงทุน คือ แบ่งเป็น
สภาพคล่องสูง , สภาพคล่องปานกลาง
และสภาพคล่องต่ำ (บางท่านอาจแบ่งตามความเสี่ยง,
บางท่านอาจแบ่งตามกระแสรายได้)
โดยลักษณะการแบ่งสินทรัพย์ของผมก็ประมาณนี้
-
สภาพคล่องสูง = เงินฝากธนาคาร
-
สภาพคล่องปานกลาง =
ทองแท่งหรือทองรูปพรรณ , หุ้น , พันธบัตรรัฐบาล
-
สภาพคล่อง = ที่ดิน, อสังหาริมทรัพย์
โดยการลงทุนที่ผมจะมาแนะนำทุกท่านคือ
“หุ้น”
หุ้นคือ ตราสารที่บริษัทฯที่ได้ทำการจดเข้าทะเบียนตลาดหลักทรัพย์และได้ทำการขายตราสารนี้อออกมาให้กับผู้สนใจลงทุนได้ซื้อหรือเก็งกำไร ความหมายง่ายๆ คือ บริษัทฯ
ทำตราสารออกมาเพื่อยืมเงินบุคคลที่สนใจไปลงทุน
ผู้ซื้อก็จะได้ความเป็นหุ้นส่วนหรือเป็นเจ้าของร่วมกับกิจการนั้นๆ
การลงทุนในหุ้นมีแนวทางการลงทุนหลายแบบ
เช่น day trade , เล่นรอบ , VI , ฯลฯ ซึ่งแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน
ทั้งนี้ผมจะแนะนำในแนวทางของผม
ซึ่งก็ได้ดัดแปลงมาจากอีกหลายๆท่านที่เป็นกูรูในด้านนี้ ก็คือแนวห่านทองคำ ซึ่งจะอธิบายในโอกาสต่อไป
>>>
บางคนบอกว่าต้องมีเงินมากแค่ไหนในการลงทุนหุ้นหรือเล่นหุ้น ผมขอบอกว่าขั้นต่ำ เพียงแค่เดือนละ 500-1,000
บาทครับ เหมือนฝากเงินประจำ ซึ่งท่านอาจฝากประจำกับธนาคารอยู่แล้วก็ฝากไป (สภาพคล่องไม่เหมือนกัน) เพียงแค่เพิ่มในส่วนของตรงนี้มาลงทุนในแต่ละเดือนๆ
เท่านั้นเอง
และผมก็ไม่แนะนำให้นำเงินทั้งหมดมาลงทุนในหุ้น ควรแบ่งการลงทุนไว้หลายๆทาง
>>>>>
ถ้าสนใจจะซื้อหุ้นแล้ว ทำอย่างไร
>>> ก่อนอื่นต้องไปต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น
กับบริษัทฯ หลักทรัพย์ต่างๆ
ซึ่งผมจะแนะนำในบทความถัดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น