วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

เปิดบัญชีซื้อขายหุ้น


บัญชีซื้อขายหุ้นประเภทต่างๆ
ในการซื้อขายหุ้นเราจะซื้อขายเองโดยตรงไม่ได้  แต่จะเราจะต้องซื้อขายผ่านนายหน้าหรือบริษัทหลักทรัพย์ฯ ที่อาจเรียกสั้นๆว่า "โบรกเกอร์"  โดยที่โบรกเกอร์ในประเทศไทยก็มีอยู่หลายบริษัทฯ ซึ่งจะมีการคิดอัตราค่าคอมมิชชั่นที่ไม่ค่อยแตกต่างกัน  โดยเราสามารถเปิดบัญชีกับทางโบรกเกอร์เหล่านี้ได้ โดยจะแบ่งประเภทบัญชีออกเป็น 3 ประเภท อนึ่งการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นอาจเรียกสั้นๆว่า เปิดพอร์ต

1. บัญชีประเภท Cash Account  หรือ Cash ATS Account หรือเรียกว่า บัญชีเงินสด
- เป็นบัญชีซื้อขายที่ตัดผ่านบัญชีธนาคารอัตโนมัติ (ATS)  ซึ่งไม่ว่าเราจะซื้อหรือจะขายหุ้น เงินจะถูกหักหรือนำเข้าภายในวันทำการวันที่ 3 หลังจากซื้อขาย ซึ่งคือ T+3  (T คือวันที่ทำการซื้อขาย  +3 คือบวกอีก 3 วันทำการ)  ซึ่งหากไม่มีเงินในบัญชีเพียงพอให้โบรกเกอร์ตัดผ่านบัญชี  ท่านอาจจะโดนค่าดอกเบี้ยปรับและอาจถึงบังคับขายหุ้นที่มีอยู่

2. บัญชีประเภท Cash Balance หรือ Cash Balance Account หรือ บัญชีวางเงินล่วงหน้า หรือ บัญชีเงินฝาก
 - เป็นบัญชีซื้อขายที่เราจะต้องฝากเงินเข้าไปบัญชีของเราก่อน และเราจะทำการซื้อหุ้นได้ภายในวงเงินที่เราฝากเข้าไป  ทั้งนี้โบรกเกอร์บางแห่งจะให้ดอกเบี้ยกับเงินที่เราฝากเข้าไปแต่ยังไม่ได้ทำการซื้อขายหุ้นตามระยะเวลาที่เงินนั้นอยู่ในบัญชี แต่อัตราดอกเบี้ยไม่สูงนัก
 - สำหรับ บล็อกของผม จะแนะนำการเปิดบัญชีหุ้นแบบนี้นะครับ เพราะเสมือนเป็นการออม+การลงทุ้นในหุ้น ไม่ว่าได้หรือเสียก็อยู่ภายในวงเงินที่จำกัด  ตามที่เราได้ฝากเข้าไป

3. บัญชีประเภท Credit Balance Account หรือ บัญชีกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์
 - เป็นบัญชีที่กู้ยืมเงินจากทางโบรกเกอร์เพื่อซื้อขายหุ้น โดยมีอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมที่ต่างๆกัน ตามแต่ละโบรกเกอร์ หรือเรียกสั้นๆว่า บัญชีมาร์จิ้น
 - บัญชีนี้ ผู้จะเปิดบัญชีต้องวางเงินค้ำประกันไว้จำนวนหนึ่งก่อน ส่วนใหญ่จะประมาณ 10-15% ของวงเงินที่ได้รับ ข้อดีในสายตาของผมในการเปิดบัญชีแบบนี้คือ ซอร์ตเซล  แต่อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้เปิดแบบนี้ เพราะเสมือนกู้เงินมาเล่นหุ้น มากกว่าการลงทุน


ค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายหุ้น
ในการซื้อขายหุ้นจากมีค่านายหน้า (คอมมิชชั่น) จากโบรกเกอร์และ vat  โดยในแต่ละประเภทบัญชีก็จะมีค่าคอมมิชชั่นที่แตกต่างกัน ตัวอย่างจากตารางด้านล่างของโบรกเกอร์หนึ่ง




การเลือกโบรกเกอร์สำหรับการเปิดพอร์ต
ในการเลือกโบรกเกอร์สำหรับการเปิดพอร์ตเพื่อซื้อขายหุ้น เราควรคำนึงถึงเรื่องต่างๆดังนี้
1. เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ โดยเราสามารถดูรายชื่อบริษัทหลักทรัพย์ได้ที่
http://www.settrade.com/C00_BeginnerRedirect.jsp?txtPage=beginnerZone/th/beginner-broker-list.html
2. ในการซื้อขายหุ้นครั้งแรก อยากแนะนำให้เปิดกับโบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่่นขั้นต่ำ ส่วนใหญ่จะมีค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำ 50 บาทต่อวัน  กล่าวคือถ้าวันนั้นมีคำสั่งซื้อ/ขายที่ match แต่ค่าคอมมิชชั่นรวมทั้งวันไม่ถึง 50 บาท  ทางโบรกเกอร์จะคิดที่ 50 บาท + vat 7% รวมเป็นทั้งสิ้น 53.50 บาท  (มูลค่่ารวมของการซื้อขายในแต่ละวันที่จะเสียค่าคอมมิชชั่นเกิน 50 บาทคือยอดเงินประมาณ 33,000 บาทขึ้นไป)
 - โดยวิธีที่จะดูโบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำต่อวัน ดูได้จากลิ้งค์ในข้อ 1 แล้วกดเครื่องหมาย + ที่หน้ารายชื่อโบรกเกอร์นั้นๆ

** ทั้งนี้ผู้เขียนขอแนะนำ 3 โบรกเกอร์ คือ ทิสโก้ , บัวหลวง , ยูโอบีเคย์เฮียน  แต่ถ้าให้เลือกเพียงที่เดียวขอแนะนำ ทิสโก้ ครับ  เพราะเครื่องมือต่างๆมีพอควร มีบทวิเคราะห์ให้อ่าน ใช้เวลาเปิดพอร์ตไม่นาน

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

การลงทุน

     ในสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น แต่ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารกลับลดน้อยถอยลง ซึ่งเป็นอัตราที่สวนทางกัน  ดังนั้นจึงมีผู้คนที่จะพยายามออมเงินด้วยการลงทุนในรูปแบบต่างๆ  ซึ่งมีทั้ง ซื้อทอง , พันธบัตรรัฐบาล ,สลากออมสิน , อสังหาริมทรัพย์ , กองทุนต่างๆ

แต่ทั้งนี้การลงทุนในรูปแบบต่างๆ ก็มีทั้งสภาพคล่องและความเสี่ยงไม่เท่ากัน (สภาพคล่องคือ ความสามารถในการเปลี่ยนเป็นเงิน หรือ กระแสเงินสด)  ซึ่งมักจะแปรผันไปตามผลตอบแทนที่ได้รับ  อาทิ เงินฝากธนาคาร สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต่ำ หรือ หุ้น ที่มีสภาพคล่องปานกลาง ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง เป็นต้น

 
ทีนี้เราควรจะแบ่งการลงทุนอย่างไรดี
ตรงนี้แล้วแต่หลักการของแต่ละคน  แต่โดยส่วนตัวผมเอง ผมได้แบ่งการลงทุนตามสภาพคล่อง ของสินทรัพย์ที่จะเราไปลงทุน  คือ แบ่งเป็น สภาพคล่องสูง , สภาพคล่องปานกลาง  และสภาพคล่องต่ำ (บางท่านอาจแบ่งตามความเสี่ยง, บางท่านอาจแบ่งตามกระแสรายได้)   
โดยลักษณะการแบ่งสินทรัพย์ของผมก็ประมาณนี้
- สภาพคล่องสูง = เงินฝากธนาคาร
- สภาพคล่องปานกลาง = ทองแท่งหรือทองรูปพรรณ , หุ้น , พันธบัตรรัฐบาล
- สภาพคล่อง = ที่ดิน, อสังหาริมทรัพย์


โดยการลงทุนที่ผมจะมาแนะนำทุกท่านคือ หุ้น  หุ้นคือ ตราสารที่บริษัทฯที่ได้ทำการจดเข้าทะเบียนตลาดหลักทรัพย์และได้ทำการขายตราสารนี้อออกมาให้กับผู้สนใจลงทุนได้ซื้อหรือเก็งกำไร  ความหมายง่ายๆ คือ บริษัทฯ ทำตราสารออกมาเพื่อยืมเงินบุคคลที่สนใจไปลงทุน  ผู้ซื้อก็จะได้ความเป็นหุ้นส่วนหรือเป็นเจ้าของร่วมกับกิจการนั้นๆ  

การลงทุนในหุ้นมีแนวทางการลงทุนหลายแบบ เช่น day trade , เล่นรอบ , VI , ฯลฯ  ซึ่งแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ทั้งนี้ผมจะแนะนำในแนวทางของผม ซึ่งก็ได้ดัดแปลงมาจากอีกหลายๆท่านที่เป็นกูรูในด้านนี้ ก็คือแนวห่านทองคำ ซึ่งจะอธิบายในโอกาสต่อไป

>>> บางคนบอกว่าต้องมีเงินมากแค่ไหนในการลงทุนหุ้นหรือเล่นหุ้น  ผมขอบอกว่าขั้นต่ำ เพียงแค่เดือนละ 500-1,000 บาทครับ  เหมือนฝากเงินประจำ  ซึ่งท่านอาจฝากประจำกับธนาคารอยู่แล้วก็ฝากไป (สภาพคล่องไม่เหมือนกัน)  เพียงแค่เพิ่มในส่วนของตรงนี้มาลงทุนในแต่ละเดือนๆ เท่านั้นเอง  และผมก็ไม่แนะนำให้นำเงินทั้งหมดมาลงทุนในหุ้น ควรแบ่งการลงทุนไว้หลายๆทาง

>>>>> ถ้าสนใจจะซื้อหุ้นแล้ว ทำอย่างไร  >>> ก่อนอื่นต้องไปต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น กับบริษัทฯ หลักทรัพย์ต่างๆ  ซึ่งผมจะแนะนำในบทความถัดไป